เงินเข้าบัญชีเกิน 3,000 ครั้ง 400 ครั้ง 2 ล้าน อย่าพึ่งตกใจ!

https://www.facebook.com/share/p/1Ep2Pnh1mL/?mibextid=wwXIfr

1.ธุรกรรมการเงิน พิเศษ คือ บัญชีที่มีเงินเข้าในลักษณะดูว่าเป็นการค้า ซึ่งดูจากรายการขาเข้า โดยรัฐกำหนดมา 2 เงื่อนไข โดยดูที่เงินขาเข้าแบบไม่สนใจเหตุผลว่าเข้าบัญชีเพราะอะไร
1. เข้าเกิน 3,000 ครั้งต่อปี ต่อธนาคาร
2. เข้าเกิน 400 ครั้ง เกิน 2 ล้าน
-ดูจำนวนครั้งเป็นหลัก
-ดูยอดเงินที่หลัง
เช่น
เงินเข้า 300 ครั้ง 5 ล้าน
= ไม่นำส่ง
เงินเข้า 4000 ครั้ง 1 ล้าน = นำส่ง

2.ธนาคารนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร
แล้วไปทำอะไรต่อ
ตอบว่า : เอาไปเก็บรวม ระบบจะตรวจสอบกับการยื่นภาษี และข้อมูลอื่นๆ และหากเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงทางภาษี อาจจะถูกเรียกมาชี้แจง เช่น เงินเข้าทั้งปี เดือนละ 1000 ครั้ง ปีละ 12,000 ครั้ง ยอดเงิน 10 ล้านบาท #และไม่มีการยื่นภาษีประจำปีเลย เป็นจุดหน้าสนใจ น่าเรียกมาคุย อาจจะโดนภาษีเยอะ

สรุป
ถูกส่งแล้วจะถูกเรียกทุกราย
เป็นไปไม่ได้
บางเคสถูกนำส่ง รับโอน 800 ครั้งยอดเงิน 2 ล้านบาท แต่คนนี้ยื่นภาษี 1.7 ล้านบาท อาจจะไม่ถูกเรียกเลย

3.การยื่นภาษี เป็นอีก 1 จุด สำคัญที่เป็นหนึ่งในกระบวนการ ของการตรวจสอบของสรรพกร เพราะระบบจะไปตรวจด้วยว่า บุคคลที่มีเงินเข้าที่ธนาคารนำส่งนี้ มีการยื่นภาษีหรือไม่ ตรงกับไม่ตรง ก็ค่อยว่ากันอีกที
นั้นหมายความว่า มีรายได้ ให้ยื่นภาษี
การยื่นบางที อาจจะไม่ต้องเสีย
การยื่นบางที อาจจะต้องจ่ายภาษีหลักพัน
การยื่นบางที อาจจะต้องจ่ายภาษีหลักหมื่น
แต่การไม่ยื่นภาษี = หลบภาษี
อาจจะต้องจ่ายภาษีย้อนหลังหลักแสน-ล้าน

4.สรรพากร ไม่สามารถตรวจสอบบุคคลที่ถูกนำส่ง ได้ทุกคน 100%
เป็นไปไม่ได้ที่ตรวจทุกคน เพราะ เจ้าหน้าที่สรรพากร ทั้งประเทศมีประมาณ 2 หมื่นคน เป็นทีมตรวจตรวจประมาณ 5 พันคน คุณลองคิดดูว่า เจ้าหน้าที่ 5 พันคน จะตรวจรายชื่อเป็นแสน เป็นล้านคน ที่ถูกนำส่งทั้งหมด #เป็นไปไม่ได้

5.ท่านที่กังวลเรื่องนี้ เพราะท่านกำลังมีรายได้และไม่อยากยื่นภาษีหรือไม่ หากกำลังเป็นเช่นนั้นอยู่
ลองคิดใหม่ว่า เราจบมีสติในการสลับบัญชี กระจายเงินเข้าบัญชี เพราะไม่อยากถูกนำส่ง และแท้จริงคือไม่อยากยื่นภาษี
หากเป็นเช่นนั้นอยู่ ทำเป็น ก็ทำได้
หากคุณเหนื่อยที่จะทำ กังวลเรื่องภาษีย้อนหลัง

6.ขอแนะนำ 4 ข้อ เพื่อให้คุณได้เตรียมตัวเข้าระบบ แบบที่ยังมีกำไรในกิจการ


ลองอ่าน แชร์เก็บไว้ และทำตามดังนี้

ข้อ 1 : ทบทวนราคา ต้นทุน ค่าใช้จ่าย ว่าเรายังมีกำไรเท่าไหร่แบบจริงๆ และคิดเป็นกี่ % เช่น มีกำไรสุทธิ 20% และคิดต่อว่า ถ้าต้องเข้าระบบเสียภาษี เรายอมเสียส่วนกำไรนี้ เพื่อเสียภาษี ได้หรือไม่ VAT 7% ภาษีปลายปี 1-2% ถ้าได้ก็พร้อมเข้าระบบ แต่ถ้าคุณคำนวณแล้วผลออกมาว่ากำไร 5% แบบนี้น่าจะต้องเร่งปรับโครงสร้าง ราคา และต้นทุนในกิจการ

ข้อ 2 : ราคาที่เราขาย เป็นราคาตลาด ที่ชนเพดานแล้วหรือไม่ ถ้าเรายังปรับขึ้นได้ เนื่องจากต่อไปต้องบวกภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เก็บจากผู้บริโภค นั้นหมายความว่าต้องขึ้นราคา สินค้าหรือบริการของคุณยังปรับขึ้นได้หรือไม่ ถ้าได้คุณเข้าระบบได้สบาย ถ้าไม่ได้ต้องแก้ไขที่ตัวสินค้า หรือโครงสร้างราคา หรืออาจจะต้องไปลดต้นทุน

ข้อ 3 : ธุรกิจที่ทำอยู่เป็นรายได้หลักของคุณ และครอบครัวหรือไม่ ถ้าตอบว่าใช้ คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ช่องทางรายได้ของครอบครัว อยู่ในภาวะเสี่ยงเรื่องการเงิน เพราะภาษีย้อนหลัง คือเรื่องของการเสียเงินก้อน

ข้อ 4 : คุณให้ความสำคัญกับความรู้ภาษี มากแค่ไหน เจ้าของหลายท่านให้ความสำคัญกับ การตลาด การขาย ซึ่งแน่นอนเป็นเรื่องสำคัญอันดับ 1 ในการดึงเงินเข้ากิจการ แต่เรืองภาษี ก็ควรเป็นลำดับความสำคัญอับดับ 2 เพราะต้องรู้เพื่อวางแผน ป้องกัน จ่ายเพื่อป้องกัน ยังไงก็ถูกกว่า จ่ายเพื่อแก้ไข


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่